เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ก.พ. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเกิดมาทางโลก เห็นไหม เกิดมาทางโลกเราก็ว่าเราทุกข์เราร้อนกันนะ ทุกคนอยากเอาความสุข ทุกคนอยากหาความสุขหาความสบาย คิดเอาเองไง คิดว่าจะหาความสุข แล้วมันจะได้ความสุขสมความปรารถนาไหม มันเป็นโลก โลกก็ต้องคิดกันอย่างนั้นนะ อยากจะหาความสุขแล้วก็พยายามแสวงหากัน มันก็เป็นความสุขโลกๆ ไง มันก็มีศาสนานะ ศาสนานี่มันทำให้มีความสุขได้เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันปล่อยโลกได้ ถ้ามันปล่อยปัญหาได้มันจะมีความสุข ถ้ามันตามปัญหานั้นไปมันจะจบที่ไหนล่ะ ปัญหาของโลกไม่มีวันจบหรอก

เกิดมาเกิดตายเกิดตายกันอยู่อย่างนี้ แล้วเวียนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ตลอดไป เราก็ไม่รู้ว่าเป็นอันใหม่อันเก่านะ แล้วเราก็จะเวียนตายเวียนเกิดกันอยู่อย่างนี้ แล้วเราจะแก้ปัญหามัน ปัญหามันแก้ไม่จบหรอก ปัญหาทางโลกแก้ไม่จบ แต่มันมีนะ เราเกิดมาจากโลก เรานี่เกิดมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นโลกไหม แล้วพ่อแม่เกิดมาจากไหน พ่อแม่เกิดมาจากปู่ ย่า ตา ยาย นี่เกิดมาอยู่อย่างนี่แล้วมาเกิดตายเกิดตาย แล้วเมื่อก่อนคน ๑๖ ล้านคน แล้วตอนนี้ ๖๐ ล้านคนมันมาจากไหนล่ะ นี่ว่าจิตนี้หนึ่งเดียวเกิดได้หนึ่งเดียว มันไม่ได้คิดหรอก

ดูสิ ในพระไตรปิฎกนะ ภิกษุปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาก แต่ติดในจีวร เห็นไหม ไปเกิดเป็นเล็น ภิกษุคนนี่ มนุษย์นี่ไปเกิดเป็นเล็น เป็นเล็นเป็นไรทำไมมันพลิกกลับมาได้ล่ะ แล้วดูสัตว์สิในสัตว์ที่เรามองเห็นนี่อบายภูมิ สิ่งที่เรามองเห็นได้มันยังเปลี่ยนแปลงสภาพตลอดเวลา แล้วจิตที่เรามองไม่เห็นมันจะเปลี่ยนขนาดไหน นี่การเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติเป็นอริยทรัพย์ ถึงจะทุกข์ก็ทุกข์อยู่ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะมีทางออกไง เพราะมีศาสนา ถ้าไม่มีศาสนาไม่มีทางออกนะ

นี่เรามาเสียสละกันนี่ทุกข์ไหม เราขวนขวายหามาเป็นทรัพย์สินเงินทองของเรา แล้วมาเสียสละออกไปนี่ มันเสียสละออกไปเพื่ออะไร เราไม่ใช่เสียสละออกไปแบบคนที่ไม่มีสติปัญญานะ เราสละออกไปเราโยนทิ้งเหรอ เราไม่ได้โยนทิ้งนะ เราเสียสละออกไปด้วยความพอใจ เราเสียสละด้วยหัวใจนะ หัวใจมันเคารพศรัทธาในศาสนา มันเคารพศรัทธาในครูบาอาจารย์ เห็นไหม นี่มันเปิดออก เปิดสิ่งที่หมักหมมในหัวใจนี่ออก นี่การเสียสละ ความตระหนี่ถี่เหนียวคือกิเลสตัณหาความทะยานยากอยู่ในหัวใจตลอดเวลา แล้วสิ่งนี้เราได้สละมันออกไป แต่เราสละของเราไม่เป็น สละโดยโลกๆ เห็นไหม สละด้วยอามิส สละด้วยสิ่งของเป็นวัตถุนี่สละออกไป ขณะเสียสละออกไป ดูสิ เขาทำกันเขายังทำได้แสนยากเลย

แล้วเราสละกิเลสนะ สิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานยากในหัวใจเราจะสละมันออกไป ธรรมะมันสอนตรงนี้ไง มันถึงจะพ้นจากทุกข์ได้ ถ้าพ้นจากทุกข์ได้ ถ้าพ้นจากทุกข์ได้มันจะพ้นจากทุกข์จริง เวลาพ้นจากทุกข์จริง ดูสิ นี่เวลาโยมเสียสละมา เห็นไหม เป็นวัตถุ เป็นอาหาร ภิกษุนี่รับมานะ แล้วถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะนะฉันจนตาย มันตายได้นะ ชูชกกินข้าวจนตาย นี่สิ่งที่กินจนตายมันก็ตาย เพราะอะไร เพราะมันอยากจะมีความสุขไง อยากจะเสพ อยากจะกินอาหารเพื่อมีความสุข แล้วมันสุขจริงไหม มันก็เป็นแค่อิ่มเดียวเท่านั้นแหล่ะ

แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะนะ นี่ปฏิสังขาโย ภิกษุฉันอาหารโดยไม่ปฏิสังขาโย ไม่พิจารณาก่อน เป็นอาบัติทุกกฎ เป็นอาบัติเลยนะ เพราะสิ่งนี้มันเป็นประโยชน์มาก เพราะอะไร เพราะเราหิวกระหายใช่ไหม นี่เราหิวมานี่ เราฉันมามื้อเดียวหรือเราอดอาหารมา ว่าสิ่งที่มันเป็นอาหารมานี่มันต้องการ มันแสวงหา แล้วเราก็ขาดสติ เรากินด้วยตัณหาความทะยานอยากเลย แต่ปฏิสังขาโยก่อน ตั้งสติก่อนนี่ โลกนี้เห็นไหม สิ่งนี้เป็นโลก เกิดมาก็เป็นโลก เกิดมานี่ธาตุ ๔ มันต้องการอาหารของมันโดยธรรมชาติของมัน นี่เป็นธรรมชาตินะ เราว่ามันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว

นี่การดำรงชีวิตมันต้องมีอาหารทั้งนั้นนะ ดูสิ เทวดา อินทร์ พรหม เขายังมีวิญญาณาหาร ผัสสาหาร เขาก็มีอาหารของเขานะ การดำรงชีวิตต้องอาศัยอาหาร ต้องอาศัยนี้สืบต่อ แล้วสืบต่อไปนี่ เราสืบต่อมาเพื่อประโยชน์กับเราไหม ถ้าเราสืบต่อนะ ถ้ามันเป็นประโยชน์ ดูสิ การกินอาหารทางโลกเขากินอาหารเพื่อสุขภาพนะ ถ้าคนกินอาหารด้วยตามลิ้นของตัวเองนะ มันก็เกิดโรคภัยไข้เจ็บ แม้แต่โรคยังเป็นอย่างนั้นเลย

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรม เห็นไหม กินโดยหัวใจกิเลสมันกินก่อน ถ้ากิเลสกินก่อนนะ วันนี้จะกินอะไร วันนี้จะเป็นอะไร มันต้องการอะไร มันกินไปก่อนแล้วนะ กินไปก่อนแล้วเราก็ทำตามมัน มันก็ตัวอ้วนขึ้นบ่อยๆ เข้า กิเลสมันจะอ้วนมาก ยิ่งปรนเปรอมันกิเลสมันยิ่งตัวอ้วนขึ้นไป เห็นไหม

เราปฏิสังขาโยนะ เราฉันเพื่อดำรงชีวิต เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกภิกษุให้ฉันเหมือนกับว่าหยอดล้อเกวียนไม่ให้มีเสียงดังเท่านั้นนะ ดำรงชีวิตไปสภาวะแบบนี้ แล้วมันขัดกับโลกไหม โลกถ้าได้เสพสุขมันสุขใช่ไหม แล้วนี่เราเสียสละออกมันจะสุขอย่างไร มันสุขนะ มันสุขที่เราชนะตนเองไง

นี่เรานักปฏิบัตินะ ถ้าเราต้องการทำความสงบของใจ เราต้องการปัญญาของเรา แต่เวลาประสบการณ์มันเข้าไปไปเผชิญในการทำภัตกิจนะ แล้วเราควบคุมไม่ได้ เราควบคุมไม่ได้นะ เวลาผ่านเหตุการณ์นั่นไป ผัสสะได้แค่กระทบผ่านไป พอผ่านไปเราจะไปนั่งสมาธิภาวนานี่ นั่งไปแล้วก็นั่งหลับ นั่งไปแล้วนี่ เพราะร่างกายมันกดถ่วงนะ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันกดถ่วงใจ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เบียดเบียนใจเรา

สิ่งที่เป็นเครื่องมืออาศัยนะ ดูสิ ดูไฟฟ้าในบ้านเรานี่เราแค่อาศัยมันนะ ถ้ามันลัดวงจรมันช็อตไหม ไหม้หมดเลย มันไหม้บ้านเรานะ ไฟนี่มันไหม้บ้านเรา ความคิดเราก็ไหม้เรา ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันไหม้ตัวเราเอง เห็นไหม มันไหม้เพราะเราไม่มีกำลังสู้มัน เห็นไหม แล้วเราก็ปล่อยมันตามธรรมชาติของมัน มันก็มีกำลังเหนือเรา มันก็เหยียบย่ำเรามันก็กดทับเรา แล้วเราจะเอาความสงบ เราจะภาวนาของเราเอาความสงบ แล้วสงบได้อย่างไรไง ในเมื่อ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันเหยียบย่ำอยู่

แต่เราผ่อนอาหาร เห็นไหม ผ่อนอาหารเพราะมันเสียสละ เสียสละสิ่งที่เป็นสิทธิของเรา ภิกษุไม่ฉันเป็นคณะ คณะคือฉันเป็นวง ภิกษุคณะโภชน์เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ภิกษุฉันเป็นส่วนบุคคล นี่เราบิณฑบาตมาของนี้ตกบาตรมา สิ่งที่ตกบาตรมาเราเอาใส่บาตรมา สิทธิของเราเต็มที่ สิทธิเราเต็มที่เลย แต่ขณะฉันเราทำไมต้องไปผ่อนล่ะ ทำไมเราต้องไปงดล่ะ แล้วทำไมเราต้องดัดแปลงเราล่ะ สิทธิของเรานะ สิทธิของเราๆ ยังต้องทอนมันเลย ทอนเพื่อไม่ให้มันมีกำลังเหนือเกินไป นี่แล้วว่าตามสิทธิ์ๆ เรียกร้องสิทธิ์กันแล้วก็เอาสิทธิ์นี้มาเหยียบย่ำตัวเอง แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเราจะผ่อนอย่างนี้ พอผ่อนอย่างนี้ปั๊บธาตุขันธ์มันเหยียบย่ำเราไม่ได้ สิ่งที่เป็นประโยชน์เราจะให้เป็นประโยชน์เราต้องรักษาของเรา เห็นไหม ไฟ ถึงเวลามันชำรุดขึ้นมาเขาต้องซ่อมต้องแซมของเขา เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ร่างกายมันต้องการอาหารก็ซ่อมแซมมันพอใช้ประโยชน์เท่านั้นนะ ไม่ให้มันเหิมเกริมจนเราควบคุมมันไม่ได้ มันควบคุมไม่ได้นะ กินอิ่มนอนอุ่นไม่คิดเรื่องอื่นหรอก คิดถึงกามราคะทั้งนั้น แต่ถ้าเราตัดทอนมันเรา ตัดทอนมัน รักไหม รักไม่กิน... รักไหม รักไม่กิน... อยู่อย่างนั้นน่ะ มันจะรักไปได้อย่างไรในเมื่อมันไปไม่ไหว ร่างกายมันไปไม่ไหวหรอก รักแล้วไม่กิน ถ้ามันมีกำลังขึ้นมาตัดทอนมัน ตัดทอนมัน เห็นไหม นี่ผู้ฉลาด ผู้เสียสละ

นี่ไงธรรมะมันชนะตรงนี้ไง ธรรมะมันชนะโลกตรงนี้ไง เราปรารถนาความสุขกัน แล้วก็ปรนเปรอมันนะ ทะเลถมไม่เต็มหรอก ตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง ไม่มีวันพอหรอก ถมไปเถอะไม่มีวันพอ เสียสละนี่พอ ตัดทอนมันนี่พอ ถ้าตัดทอนมันพอมันเห็นโทษด้วย ถ้าเราตามเราไป เห็นไหม เราจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ มันจะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับเราเลย แต่ถ้าเราดำรงชีวิตพอดำรงชีวิตนี่ เพราะอะไร เราเกิดมาเป็นโลก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม

เวลาพระโมคคัลลานะธุดงค์ไปแล้วไปพักอยู่ที่บ้านคนหนึ่ง เขาอยากจะถวายกาม พระโมคคัลลานะไม่ยอม ไม่ยอม เห็นไหม แล้วพูดหลุดปากไปว่าหนอนออกจากช่องทวารทั้งหมด เห็นไหม แล้วเป็นตามจริง เพราะพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกมีฤทธิ์มาก เห็นแล้วเขาก็เจ็บปวดของเขา สงสารเขามาก

นี่เวลาไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยากช่วยเหลือเขานะ “อยากช่วยเหลือเขาจะแก้ไขอย่างไร” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ได้หรอก มันเป็นกรรมของเขา เขาสร้างของเขาแล้วแก้ไม่ได้ กรรมมันหนักนัก ใหญ่นัก”

“ใหญ่ขนาดไหน”

“ใหญ่เท่ากับแผ่นดิน”

ขอดูแผ่นดิน เหาะออกไปพระโมคคัลลานะหลงทิศไง แล้วกลับออกมาเห็นโทษของมันไง ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กามนี้ให้โทษจริงหนอ กามนี้ให้โทษจริงหนอ” นี่เวลาคนที่เป็นธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “โมคคัลลานะ เราตถาคตก็เกิดมาจากกามนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาจากพ่อจากแม่นะ เราตถาคตก็เกิดมาจากกาม แล้วเอากามมาสร้างคุณงามความดี”

เราเกิดเป็นโลก เราเกิดมานี่เกิดมาจากโลกนี่แหละ เราเกิดมาแล้วเราจะสร้างคุณงามความดีไหม เราจะชนะตนเองไหม เราเกิดมาจากกามแล้วเราก็จะหมกมุ่นอยู่ในกาม แล้วเราจะสืบต่อไปให้โลกมันจะหมุนเวียนไปอย่างนี้อีกเหรอ แต่เราเกิดมาจากกามแล้วเราเอาสิ่งนี้ทำคุณงามความดี เพราะมันปฏิเสธไม่ได้ เป็นเรื่องของโลกไง

เราปฏิเสธโลกไม่ได้นะ ไม่ใช่ให้ปฏิเสธโลกแต่ให้ควบคุมมัน ให้ควบคุมมัน ให้เก็บรักษามัน เราก็เกิดมาอย่างนั้นเพราะมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นวัฏฏะ มันเป็นการดำรงเผ่าพันธุ์ เห็นไหม เขาสงวนรักษาไว้เผ่าพันธุ์เขากลัวสูญพันธุ์อยู่นี่ เขารักษาของเขาไว้ แต่มนุษย์ไม่ต้องกลัวสูญพันธุ์หรอก ดูสิจาก ๑๖ ล้านเป็น ๖๐ ล้าน แล้วจะล้นโลกไปอยู่นี่ ต้องควบคุมกำเนิดกันอยู่นี่มันเพราะอะไร ก็นี่เขาคิดกันอย่างโลก ควบคุมกำเนิดมันก็มีกรรม มันก็มีความเป็นไป มันเป็นไปไปหมดเพราะมันเป็นวาระ โลกนี้มันจะหมุนไปอย่างนี้

โลกนี้มันอจินไตย คือมันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปนะ แต่มันเป็นอนิจจัง คือมันแปรสภาพ เวลาคนเกิดขึ้นมาโดยวาระนี่ มันเกิดมาดูสิ เราผลาญทรัพยากรกัน เห็นไหม แล้วก็บอกว่าของเสียจากอุตสาหกรรม ตอนนี้ของเสียจากมนุษย์นี่มหาศาลเลย การชำระของเสียจากมนุษย์ที่มนุษย์ขับถ่ายออกนี่ ของเสียนี่มหาศาลเลย แล้วมันแปรปรวนไป ถึงคราวมันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน ตามสภาวะแบบนั้น นี่โลกๆ นะ โลกมันเป็นอย่างนั้น เราปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ เรื่องนี้มันมีอยู่แล้ว แล้วเราก็เป็นส่วนหนึ่ง เราเป็นอันหนึ่งในโลกนี้ แล้วเราจะแก้ไขของเราอย่างไร นี่แล้วเราปรารถนาความสุขกับมันได้ไหม มันเป็นแปรสภาพอยู่อย่างนี้ มันเป็นอนิจจังอยู่อย่างนี้ แล้วมันแปรปรวนอยู่อย่างนี้

แต่เราเป็นชีวิตๆ หนึ่งที่เกิดมาอยู่ในโลกนี้แล้วใช่ไหม เราดำรงชีวิตของเราไปแล้วเรารักษาของเรา เรามีสติสัมปชัญญะ เราจะรักษาตัวเราแล้วรักษาใจ โลกนอก-โลกใน โลกนอกจะหมุนไปสภาวะแบบนี้ แต่โลกใน โลกของเรา โลกทัศน์นะ หัวใจนะ ถ้ามันชำระล้างได้นะมันประเสริฐมหาศาลเลย มันประเสริฐ มันเหนือโลกได้อย่างไร มันเหนือโลกได้เพราะมันมีความเข้าใจ มีปัญญาที่เหนือโลกไง

โลกนี้เราบริหารไม่ได้ เราจัดการมันไม่ได้ มันแปรสภาพอย่างนี้ มีแต่ประคองกันไปอย่างนี้ โลกมันประคองอย่างนี้ มันเป็นสภาคะ มันเป็นสภาวะกรรม ดูสิ เศรษฐกิจแต่ละภูมิภาคมันเป็นไป มันยังไหวไปทั่วโลกเลย เห็นไหม เดี๋ยวนี้โลกมันแคบ ทุกอย่างมันแคบเพราะอะไร เพราะเทคโนโลยีมันพัฒนาขึ้นมา

แต่โลกของเราในหัวใจนี่ไม่มีใครมาแบ่งปันส่วนประโยชน์จากเราได้เลย โลกอันในเป็นโลกของเรา โลกในเราแก้ไขได้ โลกในเราควบคุมได้ โลกในสำคัญมาก โลกในคือความรู้สึก โลกในคือโลกทัศน์ โลกคือความรู้สึก ความคิดนี่ ถ้ามันพ้นจากความคิดไป เห็นไหม จิตนี่มันพ้นจากความคิดไปเราควบคุมมันด้วยปัญญาของเรา ทำลายทั้งหมดแล้วนี่ ดูสิว่ามันอิสระขึ้นมา มันจะมีความสุขขนาดไหน ศาสนามันประเสริฐที่นี่

โลกนอกทรัพยากรค่อยหากัน ทุกอย่างค่อยหากัน ที่ไหนขาดแคลน ที่ไหนต้องช่วยเหลือกัน จุนเจือกันตลอดไป แต่ถ้าโลกทัศน์ภายในนี่เรารักษาของเราเอง เราควบคุมของเราเอง มรรคญาณเกิดขึ้นมากับเราเอง นี่ธรรมจักรเกิดจากใจ ธรรมะเกิดจากหัวใจ ธรรมนี่ เห็นไหม พ้นโลกกันอย่างนี้ไง เราจะไปตื่นโลกกันอยู่นั่น เราจะพ้นโลกไปไม่ได้เลย แต่ถ้าเราเกิดมาในโลกนี้แล้วเราย้อนกลับมา ศาสนาทวนกระแสกลับมาให้เห็นโลกภายในด้วย แล้วเราแก้ไขโลกภายในของเรา เราจะประเสริฐมาก

นี่ศาสนาสำคัญอย่างนี้นะ นี่กิจกรรมที่เรามาทำกันนี่เป็นกิจกรรมของศาสนา เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่ศาสนาฝากไว้กับบริษัท ๔ แล้วบริษัท ๔ บริหารจัดการ บริหารจัดการจากข้างนอกมันเป็นวัฒนธรรม แล้วย้อนกลับมาในหัวใจ อย่าทิ้งอันนี้ ในหัวใจสำคัญกว่า ในหัวใจสำคัญกว่า สิ่งที่เราเกิดบนโลกแล้วเราอาศัยโลกมันอยู่ แล้วก็ย้อนกลับมาหาตัวเอง แล้วย้อนกลับมาแก้ไขที่หัวใจนี้ แล้วจะพ้นจากหัวใจนี่ไป พ้นจากกิเลสไปทั้งหมดนะ

นี่ถ้าเรายังไปกับโลกเราไปไม่รอด แต่ถ้าเราอยู่กับโลกแล้วเราย้อนกลับมาที่เรา เราไม่เบียดเบียน เราเป็นคนที่ดี เราเป็นคนที่สังคมพึ่งอาศัยได้ สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุขไปจากเรา เรามีความร่มเย็นเป็นสุขก่อนนะ แล้วสังคมจะมีความร่มเย็นเป็นสุข เอวัง